พ่อแม่ยอมรับเถอะว่า โลกในยุคที่เราโตมา กับยุคสมัยของลูกเราทุกวันนี้มันช่างแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
เพราะในสมัยนี้มีสิ่งเร้ามากมายอยู่รอบตัว ในยุคแห่งวัตถุและเทคโนโลยี การสื่อสารทันสมัย และไม่จำเป็นต้องใช้พยายามหรืออดทนรอคอยอะไรเลย....ซึ่งโลกแห่งความจริง แทบจะแยกกันไม่ออกเลยกับโลกเสมือนจริง
ฉะนั้นในสมัยที่ยายเลี้ยงเรา และบอกเราว่าไม่ให้เราเถียงแม่หรือดื้อเพราะมันจะบาปเราก็ปักใจเชื่อ ทั้งๆที่ไม่รู้ว่าความ "บาป" นั้นมีหน้าตาเป็นอย่างไร...ซึ่งมันเป็นวิธีที่ไม่ได้ผล และไม่เวิร์คอย่างแน่นอนเมื่อนำมาใช้กับลูกของเรา ผู้เขียนจึงขอกล่าวถึง การเลี้ยงลูก
"ปุ๋ยแห่งคุณธรรม ตอนที่1"
เริ่มต้นจากผู้เลี้ยงดู ต้องตั้งปนิธาน ให้มั่นไว้ก่อน
ตั้งปนิธาน และกำหนดตารางเวลาในแต่ละวันแล้ว สิ่งหนึ่งที่เราไม่ควรละเลยคือเลี้ยงลูกให้มีความฉลาดทางอารมณ์ มีความภาคภูมิใจในตัวเอง รู้จักตัวเองการเป็นเด็กดีและมีคุณธรรมของลูกนั่นคือการ “ เติมปุ๋ยแห่งคุณธรรม ” ให้ลูกและสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข ซึ่งนั่นถือเป็นเป้าหมายสูงสุดในฐานะ “แม่” ของผู้เขียนเลยทีเดียว หากลูกไม่รู้ผิดชอบชั่วดี ถือว่าการได้เกิดเป็น “ แม่ ” นั้นล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
การเป็นเด็กดี ที่มันอาจดูเป็นนามธรรมมากมาย กว้างใหญ่ไพศาล ถ้าเราพูดถึงความดี.....หากแต่ดัชนีชี้วัดด้านสติปัญญาทางอารมณ์เช่นนี้ คนเป็นแม่และพ่อ ( ที่ไม่หลอกตัวเอง อวยลูก และหลับหูหลับตาเข้าข้างลูกตัวเอง ) ย่อมจะรู้ดี ว่าลูกของเรานั้นมีแนวโน้มที่เป็นคนดีได้หรือไม่ การได้แสดงความรักต่อกันอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการใส่ใจในรายละเอียดของลูก สังเกตุพัฒนาการ และตัวตนของลูก
และใส่ปุ๋ยคุณธรรมให้ลูกด้วย3ทริคง่ายๆแค่นี้
1. สื่อสาร จริงใจ เชื่อใจ และเปิดใจ
หากลูกเป็นเด็กเปิดเผยที่จะกล้าพูดคุยกับครอบครัว เปิดใจคุยกันเรื่องของความรู้สึกเสมอๆ เค้าก็จะบอกความรู้สึกของตัวเองได้ ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้นเราไม่ต้องไปขุดคุ้ยหาตัวตนลูก ลูกจะรู้จักตัวเขาเอง เลือกสิ่งที่ดีเอง และบอกครอบครัวได้หากมันไม่ใช่....
ทริคง่ายๆ คือ เราต้องทำเป็นตัวอย่างที่ดีก่อน “ สื่อสาร จริงใจ เชื่อใจ และเปิดใจ ”
เช่น วันนี้เราดุลูกมาก และเผลอใช้น้ำเสียงไม่ดีกับลูก ( เช่น ตวาด ) เพราะวันนี้เราทำงานนอกบ้าน มีปัญหามาก และเหนื่อยล้าสุดๆ.... ก่อนนอนเราก็ควรจะขอโทษลูก และได้บอกเหตุผลลูก และอาจสัญญาว่าเราจะควบคุมอารมณ์ตัวเองให้ดีขึ้นกว่านี้ เป็นต้น
หรือเช่น เราไปเจอเรื่องอะไรมานอกบ้านก็กลับมาเล่าสู่กันฟัง แต่ต้องพยายามปิดท้ายเรื่องด้วยการให้เขาคิดแง่บวกไว้เสมอๆ หรือสรุปเป็นคติสอนใจให้ลูก และลูกก็สามารถแสดงความคิดเห็นในเรื่องเหล่านั้นได้
***และอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญต่อพฤติกรรมของลูกมากคือ พ่อแม่ต้องเชื่อใจลูก ยิ่งในเรื่องเล็กๆน้อยๆในชีวิตลูก เช่นการเลือกเสื้อผ้า การทำทรงผม ต่อให้มันดูขัดหูขัดตาเราก็เถอะ เราก็ไม่ควรไปบงการจัดแจง ตำหนิติเนียน สอนสั่งไปทุกเรื่อง และเรื่องใหญ่ๆเช่นเลือกวิชาเรียนก็คุยปรึกษากันแบบให้เค้าได้แสดงความคิดเห็น และรับฟังเค้าด้วยหัวใจเมตตาให้มากๆ
เพราะยิ่งเมื่อลูกเริ่มโตขึ้นเข้าสู่วัย ลูกมีความคิดของตัวเองมากขึ้น อยากมีอิสระ ไม่อยากถูกจับจ้องทุกฝีก้าว(โดยเฉพาะลูกชาย) บางทีถูกห้ามมากๆมาโดยตลอดหรือครอบครัวมีกฎยิบย่อยที่มากเกินไป ทำให้เค้าอยากแหกกฎและท้าทายดู
เค้ารู้ว่าแม่พ่อจะดุหรือว่าเค้าแน่ๆ ถ้าเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เลยทำให้เค้าต้องปิดบัง หรือกลายเป็นเด็กเลี้ยงแกะไปเลยก็ได้
2. แสดงความรัก บอกรัก และโอบกอดกัน
แสดงความรัก บอกรัก และโอบกอดกัน ทำทุกวันสม่ำเสมอไม่ต้องเขินอาย ทำจนกลายเป็นวัฒนธรรมครอบครัวเราไปเลย
การได้ยินคำบอกรักทุกวัน อ้อมกอดที่มีให้แก่กัน มันจะฝังลึกเข้าไปในจิตใต้สำนึก ถือเป็นพลังใจที่สุดวิเศษ ให้กับทุกๆคนในบ้าน ปัญหานอกบ้านต่อให้หนักหนาสาหัสแค่ไหนพอกลับมาถึงบ้านเจอแต่ความรักที่อบอวลอยู่เต็มบ้าน ไม่ใช่แค่ลูกแต่สมาชิกทุกคนในบ้านจะมีพลังใจที่เข้มแข็งพร้อมที่ฟันฝ่าทุกอุปสรรคไปได้
เริ่มต้นและทำทุกวันง่ายๆ บอกรักลูก บอกว่าเขามีความหมายยังไงกับครอบครัว บอกไปเหอะรู้สึกยังไงก็บอกไป เช่น วันนี้หนูมีน้ำใจมากๆ ที่ช่วยงานคุณพ่อด้วย แม่ภูมิใจในตัวหนูมาก หรือพูดอะไรที่มันดูกุ๊กกิ๊ก หนุงหนิงบ้าง เช่น “ หนูหน้าตาน่ารักนะ แม่ว่า ตาเหมือนแม่ คิ้วเหมือนพ่อ สีผิวเข้มๆอย่างนี้ก็เท่ เหมือนคุณตา ” อะไรก็คุยๆกันไป เพราะเรารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ.... อบอุ่นและโรแมนติกดีนะ
....ผู้เขียนบอกรักลูกทุกๆวัน อยู่มาวันนึงเขาบอกกลับเราว่า
“ หนูรักแม่รักพ่อมากที่สุด.... หนูรู้ว่าจะอยู่ที่ไหนความรักของแม่กับพ่อก็จะอยู่กับหนูตลอด ”...
(ฟังแล้วน้ำตาอิแม่น้ำตารื้นเลยทีเดียว เพราะสัมผัสได้ว่า มันออกมาจากใจเค้าจริงๆ)
เราชมและให้กำลังใจกันเสมอ จนวันนึงเค้าก็กลับบอกว่า
“ แม่ก็น่ารักเนอะ หน้าตาก็น่ารัก นิสัยก็น่ารัก... แต่บางทีก็หน้ายักษ์ไปหน่อย ” 555555
3. ไม่ต้องมีฟอร์มกับลูกมากนัก
หากอะไรที่เราทำไม่ชำนาญ ก็บอกลูกได้ว่าเรายังไม่เก่ง.... แต่อาจตบท้ายด้วยการให้คติสอนใจ.... ว่าหากเราพยายามเราก็จะเก่งมากขึ้นได้ทุกคน
ผิดบ้างไรบ้างก็เป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์.... ที่ต้องเรียนรู้กันทุกวัน
เช่น (วันนั้นใช้รถพ่อ และไปกันสองคนแม่ลูก) “ แม่ไม่ค่อยได้ขับรถคันใหญ่ๆเลย แม่เลยไม่ค่อยถนัด ลูกช่วยแม่ดูตอนถอยจอดหน่อยนะคะ.....แต่หากแม่เอารถพ่อมาขับบ่อยๆแม่ก็จะเก่งขึ้นเองเนอะ ”
สอนให้ลูกนึกถึงใจผู้อื่นเสมอๆ และเป็นตัวอย่างให้ลูกด้วย อย่าดูถูกหากพบผู้ที่ด้อยกว่า หรืออย่าไปตัดสินใครคิดต่างจากตน ....สอนผ่านนิทานคุณธรรมก็ได้ เพราะหากวันนึงลูกเก่งขึ้น ซึ่งจะมีทักษะหลายๆอย่างในชีวิตที่ดีกว่าพ่อกับแม่ด้วยซ้ำไป ลูกก็จะได้ไม่เก่งจนเหลิง และดูถูกดูแคลนผู้อื่น
3ทริคข้างต้นนี้ ทำทุกวันเลยนะคะ รับรองเลยว่าสัมพันธภาพในครอบครัวจะดีงามสุดๆ
--------- โปรดติดตามตอนต่อไปนะคะ --------------