ก่อนที่จะมาเรียนรู้ถึงการสร้างสภาพแวดล้อมให้ส่งเสริมระดับสติปัญญา(IQ)ของลูกนั้น
มาทำความเข้าใจก่อนว่า สติปัญญาคือ ความสามารถภายในตัวบุคคลที่พิจารณาได้จากพฤติกรรมที่แสดงออก ความคล่องแคล่ว รวดเร็ว ถูกต้อง ในการคิดแก้ปัญหา และการปรับตัว
ไอคิว (Intellectual Quotient: IQ) หรือระดับเชาวน์ปัญญา เป็นความสามารถในการเรียนรู้ การคิด วิเคราะห์ การตัดสินใจ และการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้
IQจึงเป็นเครื่องในการชี้วัดความฉลาดทางสติปัญญาแบบรอบด้านได้อีกด้วย
การจะรู้ระดับสติปัญญาจะต้องใช้แบบทดสอบวัดสติปัญญา
การแบ่งระดับเชาว์ปัญญา แบ่งเป็น
140 ขึ้นไป อัจฉริยะ ฉลาดมากที่สุด (very superior)
120 - 139 ฉลาดมาก (superior)
110 - 119 ฉลาดกว่าระดับปกติ (higher average)
90 - 109 ฉลาดปานกลาง หรือระดับปกติ (average)
80 -89 ต่ำกว่าปกติ (low average)
70 -79 คาบเส้นปัญญาอ่อน (borderline mentalretardation)
ต่ำกว่า 70 ปัญญาอ่อน (mental ratardation)
คนเราทุกคนจะเกิดมาพร้อมกับลักษณะเฉพาะตัว และถูกหล่อหลอมด้วยสภาพแวดล้อมในภายหลัง
IQ หรือความสามารถทางเชาว์ปัญญาก็เป็นสิ่งหนึ่งซึ่งถูกกำหนดมาตั้งแต่แรกเกิด โดยมีปัจจัยด้านพันธุกรรมไปเกี่ยวข้องด้วย และสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ในครรภ์ของมารดาจนกระทั่งหลังคลอดก็เป็นปัจจัยอีกอย่างหนึ่งที่มีผลต่อเชาว์ปัญญาเช่นกัน เช่น ภาวะแวดล้อมที่มีการให้ความรัก ความอบอุ่น ให้การกระตุ้นพัฒนาการที่เหมาะสมกับวัย ก็จะมีผลต่อการเสริมสร้างศักยภาพนี้ให้มากขึ้น หรือในทางกลับกันก็บั่นทอนให้ลดลงได้เชาว์ปัญญาเป็นนามธรรมที่จับต้องไม่ได้ แต่แสดงออกให้เห็นได้ผ่านพฤติกรรมต่างๆ ที่แสดงถึงความสามารถในการเรียนรู้ ความสามารถปรับตัวต่อเหตุการณ์ใหม่ๆ ความสามารถเข้าใจและเชื่อมโยงเหตุการณ์ต่างๆ อย่างมีเหตุผล และเป็นพฤติกรรมที่มีจุดมุ่งหมาย จะเห็นว่าเชาว์ปัญญาไม่ใช่ผลจากความสามารถอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นเราจึงไม่สามารถนำพฤติกรรมใดเพียงอย่างเดียวไปตัดสินว่าคนๆ นั้นโง่หรือฉลาดได้
Classification of Intelligence by I.Q. Range
ค่า IQ ปกติ คือ 90 – 109 ส่วนที่ต่ำกว่าปกติเล็กน้อย คือ 80 – 89 จะเรียกว่ากลุ่ม
Dull normal เป็นกลุ่มคนที่สามารถเรียนรู้ในระบบปกติได้ เพียงแต่จะช้ากว่าเล็กน้อยในเกือบทุกด้าน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านวิชาการ กลุ่มที่ต่ำลงไปอีก
คือ 70 – 79 ถือเป็นกลุ่ม Borderline MR (คำว่า MR มาจาก Mental Retardation หรือ ความบกพร่องทางสติปัญญา) กลุ่มนี้มักจะต้องการความช่วยเหลือพิเศษจึงจะสามารถเรียนรู้ได้ ส่วนกลุ่มต่ำกว่านั้น คือ เด็กสติปัญญาบกพร่องจะต้องอาศัยระบบการศึกษาพิเศษซึ่งจะแบ่งระดับไปตามความรุนแรงของความบกพร่อง กลุ่มที่บกพร่องอย่างอ่อน เป็นกลุ่มที่จัดเป็น Educable คือ เรียนรู้ทางด้านวิชาการได้ในระดับหนึ่ง สามารถอ่านออกเขียนได้ โดยในการเรียนรู้จะต้องใช้เวลาที่มากกว่าปกติ ส่วนกลุ่มสติปัญญาบกพร่องปานกลางจัดเป็นพวก Trainable คือ สามารถฝึกฝนสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันได้ ส่วนกลุ่มบกพร่องรุนแรงถึงรุนแรงมาก เป็นกลุ่มที่ต้องอาศัยผู้ดูแลอยู่ตลอดเวลา ซึ่งกลุ่มนี้มักมีโรคทางกายอื่นๆ ร่วมด้วยอยู่แล้ว
กลุ่มที่มีค่า IQ สูงกว่าค่าปกติ คือ กลุ่ม Bright Normal จะสามารถเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้รวดเร็ว เข้าใจอะไรๆ ได้ง่ายกว่าคนในระดับอายุเดียวกัน ที่สูงขึ้นมาอีก คือ กลุ่ม Superior และ Very superior กลุ่ม ฟังดูน่าจะประสบความสำเร็จรวดเร็วกว่าคนอื่นในทุกๆ ด้าน เนื่องจากความฉลาดที่โดดเด่น แต่บางครั้งจะกลับพบว่าคนกลุ่มนี้มีปัญหาด้านอารมณ์ และพฤติกรรมได้บ่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากความฉลาดเกินปกติของเขาทำให้คนรอบข้างคาดหวังกับเขามาก และมองข้ามความต้องการด้านอื่นๆ ของเขาไป
คุณพ่อคุณแม่ได้อ่านด้านบนแล้วคุณอยากให้ลูกอยู่ในกลุ่มไหนละ ใครๆก็ต้องตอบตรงกันว่าก็ต้องอยากให้ลูกไอคิวสูงสิถามได้ นั่นละคะในEPหน้าเราจะมาพูดถึงวิธีการพัฒนาระดับสติปัญญของลูกกันคะ
ขอบคุณข้อมูลบางช่วงบางตอนจากบทความ รพ.พระราม9